Google

Friday, August 22, 2025

พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 1-4 #ebooks

 พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 1-4 #ebooks


พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 1
เริ่มต้นทำความเข้าใจโลกการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างมืออาชีพ!

สำหรับนักศึกษา นักการทูต หรือผู้ที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับโลกที่กว้างขึ้น พจนานุกรมฉบับนี้คือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้คุณเข้าถึงคำศัพท์เฉพาะทางได้อย่างแม่นยำ

ภายในเล่ม 1 ประกอบด้วย 3 หมวดวิชาสำคัญที่ครอบคลุมประเด็นหลักของโลกการทูต ได้แก่:

ศัพท์หมวดกฎหมายระหว่างประเทศ: เข้าใจหลักเกณฑ์และข้อบังคับที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่างๆ

ศัพท์หมวดการควบคุมอาวุธและการลดกำลังรบ: เจาะลึกคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและสันติภาพของโลก

ศัพท์หมวดธรรมชาติและบทบาทของการทูต: เรียนรู้แก่นแท้และหน้าที่ของการทูตในโลกยุคใหม่

อย่ารอช้า! ดาวน์โหลดทันทีเพื่อสร้างความได้เปรียบในการเรียนรู้และทำงานของคุณให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น!
Link: https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMzI2MjM5MSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI3MTEwMyI7fQ
====================
อย่าปล่อยให้โลกแซงหน้า! พจนานุกรมเล่มนี้จะทำให้คุณเท่าทันโลกการเมืองระหว่างประเทศ!
คุณรู้หรือไม่ว่าทำไมมหาอำนาจถึงตัดสินใจแบบนั้น? ทำไมนโยบายของแต่ละประเทศถึงส่งผลกระทบต่อชีวิตเรา? คำตอบทั้งหมดอยู่ใน "พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 2"

พจนานุกรมฉบับนี้จะพาคุณไปเจาะลึก 3 หมวดวิชาสำคัญที่ทุกคนต้องรู้!

ศัพท์หมวดชาตินิยม จักรวรรดินิยมและลัทธิล่าอาณานิคม: ทำความเข้าใจรากเหง้าของความขัดแย้งและอุดมการณ์ที่ขับเคลื่อนโลกมาจนถึงปัจจุบัน

ศัพท์หมวดนโยบายต่างประเทศ: เรียนรู้ศัพท์สำคัญที่จะช่วยให้คุณวิเคราะห์และเข้าใจการตัดสินใจของรัฐบาลทั่วโลก

ศัพท์หมวดนโยบายต่างประเทศสหรัฐอเมริกา: เจาะลึกนโยบายของประเทศที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก เพื่อที่คุณจะเข้าใจทิศทางของโลกในอนาคต

ใครที่อยากรู้เท่าทันโลกการเมืองต้องมีเล่มนี้! ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา นักวิเคราะห์ หรือแค่คนที่อยากเข้าใจข่าวสาร พจนานุกรมเล่มนี้จะช่วยให้คุณเชื่อมโยงจุดต่างๆ เข้าหากันได้อย่างชัดเจน

กดซื้อเลย! แล้วคุณจะมองโลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!

Link: https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMzI2MjM5MSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI3MTEwNSI7fQ
=====================
พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 3
พจนานุกรมเล่ม 3 ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจโลกได้ลึกขึ้น!

สำหรับผู้ที่ทำงานด้านการต่างประเทศ นักศึกษา หรือผู้ที่สนใจเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พจนานุกรมเล่มนี้จะช่วยให้คุณเข้าถึงคำศัพท์เฉพาะทางได้อย่างแม่นยำ ภายในเล่มประกอบด้วย 3 หมวดสำคัญ ที่จะทำให้คุณไม่ตกข่าวและเข้าใจสถานการณ์โลกปัจจุบันได้อย่างทันท่วงที:

ศัพท์หมวดภูมิศาสตร์และประชากร: เข้าใจคำศัพท์เกี่ยวกับพื้นที่และผู้คน เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์โลกได้อย่างรอบด้าน

ศัพท์หมวดสงครามและนโยบายทางการทหาร: เจาะลึกคำศัพท์ที่ใช้ในบริบทความขัดแย้งและนโยบายด้านความมั่นคง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำความเข้าใจข่าวสารและเหตุการณ์ต่างๆ

ศัพท์หมวดองค์การระหว่างประเทศ: เรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับองค์กรระดับโลก เพื่อเข้าใจบทบาทและอิทธิพลขององค์กรเหล่านั้นในเวทีโลก

ดาวน์โหลดตอนนี้! เพื่อเพิ่มความเข้าใจในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของคุณให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

Link: https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMzI2MjM5MSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI3MzMxOCI7fQ
=======================

โลกกำลังเปลี่ยนไป! คุณพร้อมหรือยัง?
นี่คือโอกาสสุดท้ายของคุณที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างแท้จริง!

เล่มนี้คือบทสรุปที่สมบูรณ์แบบที่จะทำให้คุณเข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังของโลกใบนี้! "พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 4 (เล่มจบ)"

ในเล่มสุดท้ายนี้ คุณจะได้พบกับ 2 หมวดวิชาที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคปัจจุบัน:

ศัพท์หมวดอุดมการณ์และการสื่อสาร: เข้าใจถึงพลังที่ขับเคลื่อนสังคมและการเมืองโลก และกลยุทธ์การสื่อสารที่สามารถเปลี่ยนความคิดของผู้คนได้

ศัพท์หมวดเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ: ไขความลับของระบบเศรษฐกิจโลก การค้า การลงทุน และผลกระทบที่ส่งตรงถึงชีวิตประจำวันของเราทุกคน

อย่าปล่อยให้ความเข้าใจของคุณขาดหายไป! เล่มนี้จะช่วยเติมเต็มทุกช่องว่างที่เหลืออยู่ และทำให้คุณเป็นคนที่มีความรู้รอบด้านอย่างแท้จริง

ซื้อเลย! เพื่อปิดท้ายคอลเลกชันความรู้ของคุณให้สมบูรณ์แบบ!

Link: https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMzI2MjM5MSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI3MzMyMCI7fQ
====================

Wednesday, October 21, 2009

Human Rights

สิทธิมนุษยชน

การปกป้องปัจเจกบุคคลจากการแทรกแซงหรือจากการบั่นทอนตามอำเภอใจในชีวิตเสรีภาพและการคุ้มครองความเท่าเทียมกันทางกฎหมายโดยรัฐบาลโดยปัจเจกบุคคลหรือโดยกลุ่มบุคคล การประกันในเรื่องสิทธิมนุษยชนภายในประเทศซึ่งมีปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆของแต่ละชาตินั้นจะได้รับการสนับสนุนโดยให้ความคุ้มครองในระดับนานาชาติผ่านทางปฏิบัติการขององค์การระหว่างประเทศ นอกจากนี้แล้วก็ยังมีหลายชาติที่ถือว่าการให้ความคุ้มครองสิทธิทางเศรษฐกิจและทางสังคมแก่ปัจเจกบุคคล เป็นต้นว่า สิทธิในการมีงานทำ สิทธิในการได้รับความคุ้มครองทางการแพทย์ สิทธิในการพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น ต่างมีความสำคัญพอๆกับสิทธิในแนวความคิดแบบเดิมๆคือสิทธิทางการเมืองเลยทีเดียว นอกจากนี้แล้วก็ยังมีองค์การในระดับภูมิภาคอีกหลายองค์การก็ได้ให้หลักประกันในด้านสิทธิมนุษยชนนี้ด้วย

ความสำคัญ กิจกรรมระหว่างประเทศในด้านการให้ความคุ้มครองสิทธิมนุษยชนนี้ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1946 เป็นต้นมาได้ดำเนินการอยู่ภายใต้กรอบของสหประชาชาติโดยผ่านทางสมัชชาใหญ่และคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนคณะกรรมการและคณะกรรมาธิการของสององค์การชำนัญพิเศษนี้ กิจกรรมต่างๆที่ดำเนินการมีดังนี้ (1) มีการประกาศหลักการต่างๆเพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานโดยความสมัครใจของรัฐสมาชิก อย่างเช่น หลักการที่อยู่ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เป็นต้น (2) มีการยอมรับอนุสัญญาพหุภาคีต่างๆที่กำหนดให้รัฐต่างๆที่ได้ให้การสัตยาบันแล้วต้องประกันในสิทธิมนุษยชนนี้ อย่างเช่นที่ปรากฏอยู่ในข้อตกลงสหประชาชาติว่าด้วยการกำหนดให้การทำลายล้างเผ่าพันธุ์และการค้าทาสเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย และกำหนดให้ทำการปกป้องสิทธิทางการเมืองของสตรี เป็นต้น (3) มีการจัดหาข้อมูลและความช่วยเหลือแก่รัฐบาลของชาติต่างๆ เช่น มีการตีพิมพ์เผยแพร่หนังสือ”เยียร์บุ๊ก ออน ฮิวแมน ไร้ท์” ประจำปี เป็นต้น และ (4) มีการดำเนินการตอบโต้ต่อผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยผ่านทางการประณามของสมัชชาใหญ่ และถ้าเป็นอย่างกรณีของประเทศแอฟริกาใต้ก็ได้ใช้วิธีห้ามส่งอาวุธไปให้ และวิธีการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ เป็นต้น สำหรับวิธีที่มีการโต้เถียงกันมากในสหประชาชาติ ก็คือกรณีระหว่างรัฐพวกหนึ่งที่ให้คำนิยามสิทธิมนุษยชนในแง่พลเมืองและแง่การเมืองแบบเดิมๆ กับอีกพวกหนึ่งที่เน้นย้ำในเรื่องสิทธิทางเศรษฐกิจและทางสังคม ส่วนในระดับภูมิภาคนั้นก็มีระบบสิทธิมนุษยชนเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น อนุสัญญายุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชนซึ่งดำเนินการโดยคณะมนตรียุโรปและได้ลงนามกันเมื่อปี ค.ศ. 1950 ต่อมาเมื่อปี ค.ศ. 1975 ก็ได้มีข้อตกลงเฮลซิงกิโดยดำเนินการของกองการประชุมว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป และในปีเดียวกันนี้ก็ได้มีอนุสัญญานานารัฐอเมริกา ว่าด้วยการให้สิทธิทางพลเมืองแก่สตรี

Human Rights: European Convention

สิทธิมนุษยชน : อนุสัญญายุโรป

อนุสัญญาที่มีผลบังคับใช้นับแต่ปี ค.ศ. 1953 เป็นต้นมา โดยได้กำหนดให้มีการจัดตั้งกลไกระหว่างประเทศเพื่อให้การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในกรณีที่เกิดการโต้แย้งในหมู่รัฐที่เป็นผู้ลงนาม อนุสัญญายุโรปที่ได้พัฒนาขึ้นมาภายใต้การอุปถัมภ์ของคณะมนตรียุโรปนี้ได้รับการยอมรับจากรัฐต่างๆจำนวน 15 รัฐด้วยกัน (คือ ออสเตรีย เบลเยียม ไซปรัส เดนมาร์ก เยอรมนี อังกฤษ กรีซ ไอซ์แลนด์ ไอร์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน และตุรกี) มีสมาชิกของคณะมนตรียุโรปเพียง 3 รัฐเท่านั้นที่ไม่ยอมเข้าเป็นภาคี คือ ฝรั่งเศส มอลตา และสวิตเซอร์แลนด์ ในหมู่รัฐที่ให้การสัตยาบันอนุสัญญาฉบับนี้มีอยู่ 10 รัฐได้ตกลงเพิ่มเติมด้วยว่า บุคคลหรือคณะบุคคลใดก็ตามหากยังไม่พอใจในคำตัดสินของศาลภายในประเทศตนก็สามารถจะอุทธรณ์เรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนนี้ไปยังศาลระหว่างประเทศได้ และได้มีการพิจารณาคำอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นครั้งแรกโดยคณะกรรมาธิการว่าด้วยสิทธิมนุษยชนซึ่งประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 15 ชาติที่ได้รับการคัดเลือกมาจากรัฐที่เป็นสมาชิก ถ้าหากว่าคำอุทธรณ์สามารถยอมรับได้ คณะกรรมาธิการนี้ก็จะรายงานการสอบสวนของตนพร้อมกับให้คำเสนอแนะหลักปฏิบัติแก่คณะกรรมาธิการรัฐมนตรีของคณะมนตรียุโรป เมื่อคณะกรรมการรัฐมนตรีไม่สามารถดำเนินการยุติกรณีพิพาทโดยสันธิวิธีได้ก็อาจจะตัดสินคดีโดยใช้คะแนนเสียงสองในสามในขั้นสุดท้ายก็ได้ ฝ่ายที่แพ้คดีก็อาจจะอุทธรณ์ถึงศาลยุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชน หากว่าผู้แพ้คดีนั้นเป็นพลเมืองของรัฐหนึ่งรัฐใดที่ได้ให้การสัตยาบันในพิธีสารเพิ่มเติมที่กำหนดให้ยอมรับคำตัดสินของศาลยุโรปดังกล่าวนี้ สมาชิกของคณะมนตรียุโรปทั้ง 20 ชาติจะมีผู้แทนของตนไปประจำอยู่ที่ศาลยุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชนนี้ ไม่ว่าสมาชิกนั้นๆจะยอมรับพิธีสารที่ว่านั้นหรือไม่ก็ตาม ส่วนในการบังคับใช้คำตัดสินของศาลยุโรปนี้ก็ให้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของรัฐที่ได้รับผลกระทบนั้นๆทั้งนี้ก็เพราะอนุสัญญามิได้กำหนดเรื่องทางบังคับเอาไว้

ความสำคัญ อนุสัญญายุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชนนี้ได้กำหนดให้มีกลไกระหว่างประเทศที่มีอำนาจหน้าที่กว้างไกลในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของระบบรัฐในปัจจุบัน แต่ในแง่ปฏิบัตินั้นอนุสัญญาฉบับบนี้มิได้ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองเสรีภาพส่วนบุคคลอย่างเข้มแข็งแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้ว่าในจำนวนคำอุทธรณ์หลายพันรายการที่ยื่นถึงคณะกรรมาธิการนั้นมีเพียงไม่กี่รายการที่พบว่าสามารถยอมรับได้ และศาลยุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชนก็ได้ทำการตัดสินคดีต่างๆเพียงไม่กี่คดี คดีตัวอย่างในปี ค.ศ. 1979 คือ คดีที่ศาลยุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชนตัดสินด้วยคะแนนเสียงสองในสามว่า คำตัดสินของศาลอังกฤษที่ห้ามหนังสือพิมพ์ซันเดย์ไทมส์ที่ตีพิมพ์ในกรุงลอนดอนทำการตีพิมพ์บทความบทหนึ่งโดยอ้างว่าจะเป็นการละเมิดต่อผู้ผลิตยาทาลิโดไมล์นั้น เป็นการละเมิดอนุสัญญายุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชน แรงกระทบที่สำคัญยิ่งของอนุสัญญาฉบับนี้ ก็คือเป็นการเปิดศักราชใหม่ให้องค์การระหว่างประเทศได้ทำงานในด้านให้ความคุ้มครองแก่ปัจเจกบุคคลที่เรียกร้องความคุ้มครองเกินกว่าที่รัฐบาลของรัฐตนจะสามารถจัดหาให้ได้ ระบบคุ้มครองสิทธิมนุษยชนนี้ถือได้ว่าเป็นแม่แบบให้แก่กลุ่มต่างๆในระดับภูมิภาคกลุ่มอื่นๆได้ และก็อาจจะเอื้ออำนวยให้มีการจัดตั้งระบบแบบนี้ในระดับโลกภายใต้การอุปถัมภ์ของสหประชาชาติได้อีกด้วย

Human Rights : Universal Declaration

สิทธิมนุษยชน : ปฏิญญาสากล

คำประกาศที่กำหนด”มาตรฐานที่จะบรรลุร่วมกันสำหรับประชาชนทุกคนและชาติทุกชาติ”ในการเคารพต่อสิทธิทางพลเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม และทางวัฒนธรรม ปฏิญญาสากลนี้ซึ่งเตรียมการโดยคณะกรรมาธิการว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม ได้รับการรับรองจากสมัชชาใหญ่เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1948 ซึ่งก็ได้กำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันสิทธิมนุษยชน นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 เป็นต้นมาสมัชชาใหญ่ได้ดำเนินการร่างข้อตกลง 2 ฉบับ คือ ฉบับหนึ่งว่าด้วยสิทธิทางพลเมืองและทางการเมือง กับอีกฉบับหนึ่งว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ข้อตกลงทั้งสองฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้สิทธิเหล่านี้ที่ได้รับการประกาศในปฏิญญาสากลแล้วได้รับการปฏิบัติตามอย่างมีประสิทธิผลโดยชาติทั้งหลายที่ได้ให้การสัตยาบัน นอกจากนั้นแล้วชาติต่างๆที่ได้ยอมรับข้อตกลงฉบับแรกในสองฉบับบนี้แล้วก็อาจจะให้การสัตยาบันในพิธีสารแทนข้อตกลงว่าด้วยสิทธิทางพลเมืองและทางการเมือง ซึ่งก็จะทำให้บุคคลมีอำนาจที่จะร้องเรียนการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อองค์การระหว่างประเทศได้

ความสำคัญ ถึงแม้ว่าเกือบจะทุกอย่างที่กำหนดไว้ในปฏิญญาสากลจะมิได้รับการยอมรับว่าเป็นกฎหมายระหว่างประเทศโดยผ่านกระบวนการให้การสัตยาบันสนธิสัญญา แต่ทว่าสิทธิเหล่านี้ก็ยังมีรัฐต่างๆปฏิบัติตาม โดยในหมู่ประเทศที่เกิดใหม่ได้รับการชี้นำจากหลักการของปฏิญญาสากลนี้ต่างก็ได้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญของตนๆในทุกรัฐ ปฏิญญาสากลนี้สามารถใช้เป็นมาตรฐานสำหรับวัดว่าชาตินั้นๆได้ให้การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามมาตรฐานระหว่างประเทศหรือไม่ ส่วนในอีกหลายๆกรณี อย่างเช่นกรณีประเทศโรดีเซียและประเทศแอฟริกาใต้ ปฏิญญาสากลนี้ก็สามารถใช้เป็นพื้นฐานสำหรับประณามระบบรัฐธรรมนูญของชาติเหล่านั้นได้ ว่ายินยอมให้มีการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มทางเชื้อชาติ กลุ่มทางศาสนา กลุ่มทางสังคม หรือกลุ่มทางการเมืองหรือไม่ ส่วนในสหประชาชาตินั้นปฏิญญาสากลนี้ได้เป็นตัวกำหนดบรรทัดฐานระหว่างประเทศที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในองค์การหลักและองค์การย่อยทั้งหลายทั้งปวงของสหประชาชาติ

League of Nations

สันนิบาตชาติ

องค์การระหว่างประเทศในระดับโลกที่ได้จัดตั้งขึ้นมาโดยผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคง ตลอดจนเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างมวลสมาชิก กฎบัตรของสันนิบาตชาติซึ่งประกอบด้วยข้อความ 26 ข้อที่รวมอยู่ในสนธิสัญญาแวร์ซายส์ใช้เป็นธรรมนูญของสันนิบาตชาติ ถึงแม้ว่าประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันแห่งสหรัฐอเมริกาจะเป็นผู้นำในการพัฒนาสันนิบาตชาติและเป็นประธานคณะกรรมาธิการเขียนกติกานี้ขึ้นมา แต่สหรัฐอเมริกาก็มิได้เป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติ เนื่องจากวุฒิสภาของสหรัฐฯไม่ยอมให้ความเห็นชอบในสนธิสัญญาฉบับนี้ รัฐที่เป็นกลางต่างๆได้รับเชิญให้เป็นสมาชิกแรกเริ่มของสันนิบาตชาติด้วย ส่วนรัฐข้างฝ่ายศัตรูที่แพ้สงครามก็ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมได้ในเวลาต่อมา ซึ่งก็ส่งผลให้เป็นองค์การใกล้จะเป็นสากล เพียงแต่ว่าไม่มีสหรัฐอเมริกาเป็นสมาชิกเท่านั้นเอง แม้ว่าในขั้นสุดท้ายนั้นมีประเทศที่เป็นสมาชิกทั้งหมดรวม 63 ชาติ แต่ตลอดเวลามีสมาชิกเข้าร่วมจำนวนสูงที่สุดเพียง 58 ชาติเท่านั้นเอง ในสันนิบาตชาติมีคณะมนตรีและสมัชชาซึ่งก็เทียบได้กับคณะมนตรีความมั่นคงและสมัชชาใหญ่ของสหประชาชาติในปัจจุบันนี่เอง ทั้งสององค์กรนี้ถือได้ว่าเป็นองค์กรหลักและแต่ละองค์กรจะตัดสินใจใดๆได้ต้องมีเสียงเป็นเอกฉันท์ มีองค์กรย่อยให้ความช่วยเหลือแก่สององค์กรหลักในการดำเนินการรับผิดชอบในด้านต่างๆ เป็นต้นว่า ดินแดนในอาณัติ การลดกำลังรบ และการสวัสดิการด้านเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้น นอกจากนี้แล้วก็ยังมีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(พีซีไอเจ)ซึ่งก็คือองค์กรก่อนหน้าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศของสหประชาชาติในปัจจุบัน และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ไอแอลโอ)ล้วนเป็นองค์กรอิสระจากสันนิบาตชาติแต่ทำงานประสานกิจกรรมอยู่กับสันนิบาตชาติ ส่วนหัวใจของระบบรักษาสันติภาพของสันนิบาตชาติ ก็คือการเรียกร้องให้สมาชิกยอมรับที่จะแก้ไขข้อพิพาทระหว่างกันโดยทางการเมืองและทางกฎหมาย โดยมีทางบังคับที่ประชาคมสันนิบาตชาติจะนำมาใช้ต่อรัฐใดๆก็ตามที่ทำสงครามอันเป็นการละเมิดกติกาของสันนิบาตชาติ

ความสำคัญ กติกาสันนิบาตชาติไม่เหมือนกับกฎบัตรสหประชาชาติ คือ กฎบัตรสหประชาชาติถือว่าสงครามเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่กติกาสันนิบาตชาติพยายามจะทำให้สงครามเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในเกือบจะทุกสถานการณ์ และพยายามจะงดเว้นการกระทำการใดๆอย่างฉับพลัน ถึงแม้ว่าในบันทึกของสันนิบาตชาติจะบ่งบอกว่าสันนิบาตชาติจะทำงานด้วยดีในการแก้ไขข้อพิพาทและสถานการณ์ที่มีอันตรายในช่วงสิบปีแรก แต่สันนิบาตชาติก็มิได้กระทำการอย่างเด็ดขาดเมื่อต้องเผชิญกับการท้าทายกับการรุกรานโดยตรงของญี่ปุ่นต่อจีนในวิกฤติการณ์แมนจูเรียเมื่อปี ค.ศ. 1931 ต่อมาเมื่อปี ค.ศ. 1935 หลังจากที่อิตาลีโจมตีเอธิโอเปียแล้วนั้นสันนิบาตชาติเป็นครั้งแรกและเป็นครั้งเดียวได้ใช้ทางบังคับต่อผู้รุกรานแต่ก็ไม่สามารถยับยั้งการรุกรานครั้งนี้ได้ เมื่ออิตาลีประสบความสำเร็จเช่นนี้แล้วก็เป็นการกระตุ้นให้เกิดการรุกรานยิ่งขึ้น โดยเยอรมนีภายใต้การปกครองของนาซี รวมทั้งญี่ปุ่นและสหภาพโซเวียตเมื่อทศวรรษปี 1930 โดยที่มิได้มีการปฏิบัติการร่วมกันต่อต้านการกระทำของรัฐต่างๆเหล่านี้แต่อย่างใด สันนิบาตชาติถึงแม้จะประสบกับความล้มเหลวในการธำรงสันติภาพแต่ก็ได้ช่วยแก้ไขข้อพิพาทได้หลายครั้ง ได้ช่วยส่งเสริมความร่วมมือทางเทคนิคในหมู่สมาชิก และให้ความช่วยเหลือปรับปรุงสภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมของบางประเทศ จากประสบการณ์ของสันนิบาตชาตินี้ได้ช่วยให้มีการพัฒนาแนวความคิดและระเบียบปฏิบัติใหม่ๆที่มีประโยชน์ในสหประชาชาติ ในปี ค.ศ. 1946 สันนิบาตชาติได้ประชุมกันครั้งสุดท้ายที่นครเจนีวาและได้ลงคะแนนเสียงยุบตัวเองกับได้โอนทรัพย์สินของตนให้แก่สหประชาชาติ อาคารต่างๆของสันนิบาติชาติในนครเจนีวาทุกวันนี้ ก็คือสำนักงานใหญ่สหประชาชาติภาคพื้นยุโรป และอาคารเหล่านี้ก็ได้ถูกใช้เป็นการพิเศษเพื่อการเจรจาลดกำลังรบ

League of Nations : Covenant

สันนิบาตชาติ : กติกา

สนธิสัญญาพหุภาคี(ส่วนที่ 1 ของสนธิสัญญาแวร์ซายส์) ที่ได้จัดตั้งสันนิบาตชาติขึ้นมานั้น กติกาสันนิบาตชาตินี้มีลักษณะเหมือนกับรัฐธรรมนูญของชาติต่างๆ คือ มีบทบัญญัติให้มีการจัดตั้งองค์กรหลักๆและระบบวินิจฉัยสั่งการ ตลอดจนมีการประกาศหลักการต่างๆที่จะนำไปใช้นำทางการปฏิบัติของประเทศที่เป็นสมาชิก

ความสำคัญ กติกาสันนิบาตชาติเป็นตัวกำหนดวิธีปฏิบัติต่างๆที่จะทำให้วัตถุประสงค์ 2 ข้อของสันนิบาตชาติสามารถบรรลุถึงได้ คือ (1) เพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคง และ (2) เพื่อสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศ กติกาสันนิบาตชาติเป็นเอกสารมีข้อความสั้นๆเพียง 26 ข้อ ใช้ภาษาแบบกว้างๆเพื่อให้มีความยืดหยุ่นสามารถปรับใช้กับสภาวะของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ การล่มสลายของสันนิบาตชาติที่บังเกิดขึ้นมานั้น มิใช่ผลมาจากความอ่อนแอทางธรรมนูญภายใน แต่เกิดขึ้นมาจากรัฐสมาชิกหลักๆไม่ยอมให้การสนับสนุนหลักการของกติกาสันนิบาตชาติ และจากการที่สหรัฐอเมริกาปฏิเสธการเข้าร่วมในสันนิบาตชาติ

League of Nations : Mandates System

สันนิบาตชาติ :ระบบอาณัติ

ข้อตกลงที่กำหนดให้ดินแดนอาณานิคมของมหาอำนาจกลางที่แพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง กล่าวคือ เยอรมนีและตุรกีไปอยู่ในความดูแลและปกครองของชาติพันธมิตร มหาอำนาจที่ดูแลดินแดนในอาณัติแต่ละชาติให้รับผิดชอบต่อสันนิบาตชาติในการบริหารดินแดนในอาณัติของสันนิบาตชาติ ดินแดนในอาณัติเหล่านี้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามระดับของการพัฒนาดังนี้ คือ ดินแดนในอาณัติชั้น ก. (คือ ดินแดนอาหรับที่เคยอยู่ในเครือจักรภพของตุรกี) จัดเป็นดินแดนที่พร้อมจะได้เอกราชและปกครองตนเองได้หลังจากที่ได้อยู่ในความปกครองในช่วงเวลาสั้นๆ ดินแดนในอาณัติชั้น ข.( คือ ดินแดนแอฟริกาตะวันออกและตะวันตกของเยอรมนี) เป็นดินแดนที่ยังมิได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะให้เอกราชเร็ววันแต่ทว่าจะถูกปกครองเป็นอาณานิคมอยู่ต่อไปก่อนแต่ก็จะให้หลักประกันในเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานบางอย่าง ดินแดนในอาณัติขั้น ค.( คือ แอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้และหมู่เกาะแปซิฟิกของเยอรมนี) ดินแดนชั้นนี้จะถูกปกครองโดยให้เป็น”ส่วนภายในของดินแดนของ(มหาอำนาจที่ทำหน้าที่ดูแลดินแดนอาณัติ)” โดยที่มิได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะให้เอกราช กับได้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการดินแดนอาณัติถาวรคณะหนึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญภาคเอกชนจำนวน 10 คน โดยให้อยู่ภายใต้การกำกับของกติกาสันนิบาตชาติเพื่อให้ทำหน้าที่กำกับดูแลการบริหารดินแดนอาณัติและเสนอรายงานผลการทำงานของตนต่อคณะมนตรีสันนิบาตชาติ

ความสำคัญ ระบบอาณัติที่ได้รับการยอมรับในที่ประชุมสันติภาพที่พระราชวังแวร์ซายส์ให้เป็นทางเลือกแทนการผนวกดินแดนโดยรัฐที่เป็นผู้ชนะนี้ เป็นแบบอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ประชาคมระหว่างประเทศมีความรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพของคนที่อยู่ในบังคับของรัฐอื่น ดังจะเห็นได้ว่ารัฐที่เป็นดินแดนในอาณัติหลายรัฐ กล่าวคือ อิรัก ซีเรีย และเลบานอน ได้รับเอกราช ส่วนรัฐในดินแดนในรัฐอาณัติอื่นๆทั้งหมดยกเว้นแต่เพียงแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้เท่านั้นได้ถูกนำไปเข้าอยู่กับระบบภาวะทรัสตีของสหประชาชาติเมื่อปี ค.ศ. 1946 ดินแดนในภาวะทรัสตีเหล่านี้ทุกรัฐต่างก็ได้เป็นรัฐเอกราชทั้งหมดเว้นเสียแต่ดินแดนภาวะทรัสตีของหมู่เกาะแปซิฟิก(ดินแดนภาวะทรัสตีที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา) สำหรับแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้นั้นมีสถานะทางกฎหมายที่ยังไม่มีความแน่นอนอยู่ คือ เมื่อปี ค.ศ. 1966 สมัชชาใหญ่ได้ยอมรับมติให้ขยายขอบเขตรับผิดชอบของสมัชชาใหญ่ไปถึงแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้(นามิเบีย) แต่ทางฝ่ายสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ได้ปฏิเสธข้ออ้างระหว่างประเทศนี้ ต่อมาจึงได้ทำการสู้รบกับกระบวนการเรียกร้องเอกราชขององค์การประชาชนแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้(สวาโป)